เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2559 ตั้งใจว่าจะไปนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวงที่เขาคิชฌกูฏ ขับรถออกจากกรุงเทพฯ 4 ทุ่มไปถึงที่วัดพลวงเวลา 7 โมงเช้า ที่ใช้เวลานานเพราะรถติดมาก ใกล้ถึงวัดพลวงรถแทบจะไม่ขยับเลย
และเมื่อถึงวัดพลวง ต้องรอคิวรถขึ้นเขาอีก 1,500 กว่าคิว สภาพผู้ร่วมทริปแต่ละคนตอนนั้นค่อนข้างอิดโรย เหนื่อยเพราะไม่ได้นอนทั้งคืน ทุกคนจึงลงความเห็นว่าไม่รอดีกว่า หลังจากที่ถอดใจเลยขับรถเข้าตัวเมืองจันทบุรีเพื่อนอนพักที่โรงแรม
ครั้งนั้นเป็นทริปที่ผิดหวังมากๆ และบอกกลับตัวเองว่าถ้าคนเยอะรถติดแบบนี้อีก จะไม่มาเด็ดขาด
จากครั้งนั้นผ่านมา 3 ปี มีน้องที่รู้จักบอกว่าพึ่งไปมา คนไม่เยอะ การจัดการทุกอย่างดีขึ้น เลยตัดสินใจขอลองดูอีกครั้ง เพราะครั้งที่แล้วค่อนข้างจะผิดหวังและคาใจมากๆ
ครั้งนี้ออกเดินทางในคืนวันอังคารที่ 2 เมษายน 2562 เริ่มเดินทางออกจากกรุงเทพฯ 4 ทุ่ม ถึงที่วัดพลวงตี 2 ของวันที่ 3 เมษายน 2562 สังเกตุได้ว่าคนไม่เยอะเหมือนครั้งก่อน ที่จอดรถและการจัดการต่างๆก็เป็นระเบียบมากขึ้น พอมาถึงก็ซื้อตั๋วเพื่อต่อรถขึ้นเขา 100 บาท + จ่ายค่าเข้าอุทยาน คนละ 20 บาท (เก็บตรงทางขึ้นเขา)
ไม่ต้องรอคิวนาน ซื้อตั๋วเสร็จก็ขึ้นรถกระบะทันที !!! ขอเล่าประสบการณ์การนั่งกระบะขึ้นเขาคิชฌกูฏครั้งแรกในชีวิต บอกได้เลยว่า น่าหวาดเสียวมากๆ ทางขึ้นชันมาก !!! มีโค้งหักศอกหลายจุด นั่งท้ายๆรถค่อนข้างหวาดเสียวต้องจับราวเหล็กให้แน่น ใช้เวลา 30 นาที ก็ถึงลานพระสีวลี (นั่งต่อเดียวจบ ไม่ต้องต่อรถ 2 ต่อเหมือนหลายๆ ปีที่ผ่านมา)
พอถึงที่ลานพระสีวลีก็ไม่รอช้า เดินขึ้นบันได เป้าหมายอยู่ที่รอยพระพุทธบาทพลวง
อากาศข้างบนค่อนข้างเย็นสบาย หมอกค่อนข้างเยอะ มาตอนกลางคืนข้อดีคือ คนน้อย อากาศไม่ร้อน ข้อเสียคือ ไม่เห็นวิว ถ่ายรูปออกมาไม่สวย
ระหว่างทางเดินทางที่จะขึ้นไปยังรอยพระพุทธบาทพลวง
มาถึงตรงทางเดินที่มีระฆังเรียงแถว แสดงว่าใกล้ถึงเป้าหมายแล้ว
ก่อนถึงรอยพระพุทธบาทประมาณ 100 เมตร จะมีน้ำมะตูมให้ดื่มฟรี เป็นน้ำมะตูมที่อร่อยมากๆ พอได้ดื่มแล้วหายเหนื่อยทันที
จากจุดบริการน้ำมะตูมฟรีเดินมาอีกนิดก็จะถึงอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
และในที่สุดก็เดินมาถึงรอยพระพุทธบาทพลวง ครั้งแรกที่สัมผัสได้คือรู้สึกว่า เป็นสถานที่ที่มหัศจรรย์มาก มีความแปลกความขลังบางอย่างที่บอกไม่ถูก ต้องลองไปสัมผัสเองจริงๆ อันนี้ก็เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะครับ ทุกอย่างมันแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน
อากาศตรงบริเวณรอยพระพุทธบาทค่อนข้างเย็นมาก ก็น่าจะเป็นเรื่องปกติของธรรมชาติที่ยิ่งสูงยิ่งอากาศเย็น
ส่วนตัวแล้วที่มาเขาคิชฌกูฏในครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อขอพร 1 ข้อตามที่เขาล่ำลือกันนะครับ แต่ที่มาคืออยากมาให้เห็น อยากมารู้ว่าทำไมผู้คนจำนวนมากถึงมากันทุกปี
พอได้มากราบรอยพระพุทธบาทพลวง ความรู้สึกตอนที่ก้มกราบ คือ รู้สึกว่าได้ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ในช่วงวินาทีนั้นรู้สึกมีสติ มีสมาธิอยู่กับปัจจุบัน
กราบรอยพระพุทธบาทเสร็จ ก็เดินต่อไปยังเป้าหมายต่อไป คือ บริเวณผ้าแดง
ในปีนี้ทางอุทยานได้ย้ายจุดผ้าแดงมาใกล้กว่าเดิม จุดเดิมค่อนข้างไกลคนส่วนมากเดินไปไม่ถึง
ระหว่างทางเดินไปผ้าแดงไม่ได้น่ากลัว มีไฟตามทางตลอด รวมทั้งมีจุดให้นั่งพัก มีห้องน้ำให้เข้า
เป้าหมายที่สอง "ผ้าแดง" ในที่สุดก็มาถึง บริเวณนี้มีความเชื่อว่าสามารถขอพรได้ 1 ข้อ โดยการเขียนพรที่ต้องการลงผ้าแดงแล้วเดินรอบบาตรก้อนหินพระอานนท์ 3 รอบ สุดท้ายนำผ้าแดงมาผูกที่ต้นไม้ เชื่อว่าพรที่ขอจะสำเร็จใน 1 ปี (เป็นความเชื่อโปรดใช้สติพิจารณา)
ใช้เส้นทางลัดเดินลงไปยังลานพระสีวลี แล้วต่อรถกระบะลงเขา (ค่ารถ 100 บาท) ขาลงไม่ค่อยหวาดเสียวเท่าขาขึ้น ใช้เวลา 30 นาทีก็ถึงวัดพลวง ถึงที่วัดพลวง เวลา 05.30 น. ก็นอนพักบนรถ 2 ชั่วโมง จากนั้นก็ขับรถกลับกรุงเทพฯ
คำชะโนด จ.อุดรธานี
วัดถ้ำเขาวง จ.อุทัยธานี
เขากะลา จ.นครสวรรค์
เสาดินนาน้อย จ.น่าน
ค้นหาที่เที่ยวใกล้ตัวด้วยพิกัดปัจจุบัน
gps_fixedค้นหาจากพิกัดปัจจุบัน
ระยะทาง 2.391 กม.
เขื่อนพลวง จ.จันทบุรี
ระยะทาง 2.523 กม.
น้ำตกเขาบรรจบ จ.จันทบุรี
ระยะทาง 2.572 กม.
วัดเขาบรรจบ จ.จันทบุรี
ระยะทาง 2.796 กม.
วัดพลวง จ.จันทบุรี